ลิสทีเรีย ภัยร้ายจากอาหาร
ที่มา : http://www.cdc.gov/vitalsigns/listeria/index.html |
โรคนี้สามารถเกิดได้จากการกินเชื้อปนเปื้อนในอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่ไม่ได้มีการให้ความร้อนหรือปรุงสุกเพียงพอ นอกจากนี้เชื้อยังสามารถมีชีวิตรอดและเพิ่มจำนวนได้แม้จะมีการนำเอาอาหารเหล่านั้นเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นก็ตาม
โรคลิสเทอริโอซิสเป็นโรคที่อาจพบได้ไม่บ่อยในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่จะมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นในผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพเช่น เด็กทารก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเอดส์ รวมถึงผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันอื่นๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการแท้งได้ในรายตั้งครรภ์ และทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตได้หากรักษาได้ไม่ทันท่วงที เมื่อได้รับเชื้อลิสทีเรียเข้าสู่ร่างกาย โดยมากมักจะแสดงอาการใน 30 วันหลังจากรับเชื้อ ซึ่งในรายที่ไวต่อโรคอาจแสดงอาการได้หลังจากรับเชื้อเพียง 1 วัน โดยเมื่อเชื้อเข้าสู้ร่างกายจะรุกรานเข้ากระแสเลือดผ่านทางลำไส้เล็ก ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและแพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ ทำให้เกิดอาการที่หลากหลายโดยขึ้นกับอวัยวะที่ติดเชื้อ ซึ่งบริเวณที่มีการติดเชื้อที่สามารถพบได้บ่อยคือ เยื่อหุ้มสมอง สมอง เยื่อบุหัวใจ กระเพาะอาหารและลำไส้ เยื่อบุช่องท้อง ตา ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลือง รวมถึงรกของสตรีมีครรภ์
อาการและความรุนแรงสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม
1. ในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง อาจพบแค่ว่ามีไข้ร่วมกับอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรง โดยมากมักจะดีขึ้นใน 2-3 วัน หลังการรักษา หรือสามารถหายได้ด้วยตนเอง ซึ่งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่หรืออาหารเป็นพิษที่ไม่รุนแรง
2. ในผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสียง มักพบว่ามีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อทั่วตัว ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียรุนแรง ซึ่งอาการในระยะแรกจะคล้ายไข้หวัดใหญ่หรืออาหารเป็นพิษ แต่อาการจะรุนแรงกว่าและมีภาวะติดเชื้อที่อวัยวะอื่นร่วมด้วย ในสตรีมีครรภ์อาจพบการคลอดก่อนกำหนดหรือแท้งได้ หากทารกคลอดออกมาอาจมีภาวะติดเชื้อและเสียชีวิตในภายหลังได้
การป้องกันเบื้องต้น
1. ทำความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ที่สัมผัสกับอาหารและล้างมือก่อนหยิบจับเครื่องใช้หรืออาหารก่อนทุกครั้งเพื่อลดโอกาสปนเปื้อน
2. แยกอาหารสดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อออกจากอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงและฆ่าเชื้อแล้ว หรืออาหารที่สามารถกินได้โดยไม่ต้องผ่านการปรุง เช่น ผลไม้
3. ควรปรุงอาหารให้สุกหรืออุ่นให้ร้อนก่อนทำการบริโภค
4. ควรเก็บรักษาอาหารไว้ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส (ช่องแช่เย็น) หรือต่ำกว่า รวมทั้งไม่นำอาหารออกมาวางในอุณหภูมิห้องเป็นเวลานาน เพื่อลดอัตราการเจริญเติบโตของเชื้อ
แนวทางการรักษา
พบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัย โดยการเล่าประวัติอาหารที่บริโภค ทำการตรวจร่างกาย และตรวจเฉพาะโรคต่อไป โดยมั่วได้รับผลยืนยันแล้วแพทย์อาจทำการรักษาโดย 1.ใช้ยาปฏิชีวนะในการฆ่าเชื้อ และ 2.รักษาประคับประคองอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ปวด ให้เกลือแร่ หรือสารน้ำเป็นต้น ซึ่งโดยมากหากมีสุขภาพแข็งแรงสามารถหายได้ใน 7-10 วัน หลังจากรับการรักษา หากมีการติดเชื้อในกระแสเลือดอาจใช้ระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และอาจนานขึ้นถึง 3-6 สัปดาห์หากมีการติดเชื้อในสมอง
อ้างอิง
พวงทอง ไกรพิบูลย์. ลิสเทริโอซิส (Listeriosis) หรือ ลิสทีเรีย (Listeria). แหล่งที่มา : http://haamor.com/th/ลิสทีเรีย . สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2558.
รัฐพงศ์ รัตนภุมมะ. 2548. ข่าวประจำวัน : โรคลิสทีเรียกับคาวมปลอดภัยในการบริโภคอาหาร. แหล่งที่มา : http://elib.fda.moph.go.th/library/default.asp?page2=subdetail&id=892 . สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2558.
พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และนิธิยา รัตนาปนนท์. Listeria / ลิสทีเรีย. แหล่งที่มา : http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/1307/listeria-ลิสทีเรีย. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2558.
ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง. แผ่นข้อมูลโรคติดต่อ โรคลิสเทริโอซิส (Listeriosis). แหล่งที่มา : http://www.mhcs.health.nsw.gov.au/publicationsandresources/pdf/publication-pdfs/7145/doh-7145-tha.pdf. สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2558.
ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง. ลิสทีเรีย โมโนไซโตจิเนส (Listeria Monocytogenes). แหล่งที่มา : http://fic.nfi.or.th/foodsafety/upload/damage/pdf/listeria_monocytogenes2.pdf . สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2558.
Unknown author. Listeria (Listeriosis). แหล่งที่มา : http://www.cdc.gov/listeria . Last seen 30 June 2015.
Unknown author. Listeria. แหล่งที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Listeria . Last seen 30 June 2015.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น